ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ยาเสพติด"
จาก WIKI84
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
|||
บรรทัดที่ 8: | บรรทัดที่ 8: | ||
[[ภาพ:ปัญหายาเสพติด.jpg|center|เสด็จพระราชดำเนินไปยังพื้นที่ปลูกฝิ่น]] | [[ภาพ:ปัญหายาเสพติด.jpg|center|เสด็จพระราชดำเนินไปยังพื้นที่ปลูกฝิ่น]] | ||
<div class="kindent">ทรงตั้ง "โครงการหลวง" เพื่อแก้ปัญหาปลูกฝิ่นและการทำไร่เลื่อนลอยของชาวเขา ซึ่งมีพฤติกรรม "ถางและเผา" โดยส่งเสริมให้มีความเป็นอยู่ที่ดีและถาวร โดยการปลูกพืชผักและไม้ดอกเมืองหนาว</div> | <div class="kindent">ทรงตั้ง "[[โครงการหลวง]]" เพื่อแก้ปัญหาปลูกฝิ่นและการทำไร่เลื่อนลอยของชาวเขา ซึ่งมีพฤติกรรม "ถางและเผา" โดยส่งเสริมให้มีความเป็นอยู่ที่ดีและถาวร โดยการปลูกพืชผักและไม้ดอกเมืองหนาว</div> | ||
บรรทัดที่ 37: | บรรทัดที่ 37: | ||
*[http://kanchanapisek.or.th/kp12/ เว็บเพจข้อมูลโครงการหลวง] | *[http://kanchanapisek.or.th/kp12/ เว็บเพจข้อมูลโครงการหลวง] | ||
*[http://th.wikipedia.org/wiki/สิ่งเสพติด ข้อมูลสิ่งเสพติดจาก Th wikipedia] | *[http://th.wikipedia.org/wiki/สิ่งเสพติด ข้อมูลสิ่งเสพติดจาก Th wikipedia] | ||
บรรทัดที่ 51: | บรรทัดที่ 50: | ||
<nowiki>**</nowiki>{{แม่แบบ:สำนักงาน กปร.}} | <nowiki>**</nowiki>{{แม่แบบ:สำนักงาน กปร.}} | ||
{{ดูเพิ่มเติม|[[โครงการหลวง]]}} | |||
</div> | </div> | ||
[[หมวดหมู่:พระราชกรณียกิจ]] | [[หมวดหมู่:พระราชกรณียกิจ]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 04:12, 11 พฤศจิกายน 2551
ปัญหายาเสพติด
พุทธศักราช ๒๕๑๒ : "ช่วยชาวเขา ช่วยชาวเรา ช่วยชาวโลก"
ทรงตั้ง "โครงการหลวง" เพื่อแก้ปัญหาปลูกฝิ่นและการทำไร่เลื่อนลอยของชาวเขา ซึ่งมีพฤติกรรม "ถางและเผา" โดยส่งเสริมให้มีความเป็นอยู่ที่ดีและถาวร โดยการปลูกพืชผักและไม้ดอกเมืองหนาว
พืชทดแทนฝิ่น
ในการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมพื้นที่ต่างๆ ของภาคเหนือ ซึ่งมีภูมิประเทศเป็นภูเขาสูง มีพื้นที่ทำกินน้อยชาวเขาเร่ร่อนกลางป่าเพื่อทำไร่เลื่อนลอย เคลื่อนย้ายไปตามที่ต่างๆ โดยเฉพาะชาวเขาบางกลุ่มนิยมปลูกฝิ่นเพื่อการค้า ซึ่งในสมัยก่อนการค้าฝิ่นยังไม่มีกฎหมายห้ามการผลิตและจำหน่าย ประกอบกับการลักลอบแปรสภาพฝิ่นเป็นยาเสพติดร้ายแรงเพื่อมอมเมาเยาวชนของชาติ ทำให้การปลูกฝิ่นเป็นอาชีพที่ทำรายได้อย่างมาก ด้วยพระราชหฤทัยที่ทรงห่วงใยว่าการปลูกฝิ่นจะเป็นปัญหาร้ายแรงของประเทศและของโลก จึงทรงริเริ่มดำเนินงานโครงการหลวง เพื่อพัฒนาชาวเขาตั้งแต่ปี ๒๕๑๒ ทรงให้ความสำคัญกับงานค้นคว้าวิจัยพืชเมืองหนาวทดแทนฝิ่นก่อให้เกิดสถานีทดลองเกษตรหลวง ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงขึ้นหลายแห่งกระจายอยู่ในพื้นที่ ๕ จังหวัด คือ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน แม่ฮ่องสอน และพะเยา
กาแฟ
พืชที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนำมาปลูกทดแทนฝิ่นมีหลายชนิด หนึ่งในจำนวนนั้นคือ กาแฟ ดังพระราชดำรัสที่ได้พระราชทานไว้ เมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๑๗ ความตอนหนึ่งว่า
"... แต่ก่อนเขาปลูกฝิ่น เราไปพูดจาชี้แจงชักชวนให้เขามาปลูกกาแฟแทน กะเหรี่ยงไม่เคยปลูกาแฟมาก่อนเลย ยังดีที่กาแฟมิตายเสียหมดแต่ยังเหลืออยู่หนึ่งต้นนั้น ต้องถือว่าเป็นความก้าวหน้าสำหรับกะเหรี่ยง" และทรงแนะนำให้หาหนทางว่า "ทำอย่างไรกาแฟจึงจะเหลืออยู่มากกว่าหนึ่งต้น"
ต่อมามูลนิธิโครงการหลวงได้พัฒนาวิจัย และส่งเสริมการผลิตกาแฟอาราบิก้า โดยเมื่อปี ๒๕๔๘ มีพื้นที่ปลูก ๔,๓๐๐ ไร่ จำนวนต้นกาแฟ ๑.๗ ล้านต้น มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ ๒.๑๑๗ ราย ผลิตกาแฟกะลาได้ ๔๑,๒๘๘ กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่ารายได้ ๒.๓ ล้านบาทลูกท้อ...ทำเงิน
หม่อมเจ้าภีศเดชรัชนี องค์ประธานมูลนิธิโครงการหลวงได้เคยทรงบันทึกเรื่องลูกท้อไว้ในหนังสือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและโครงการหลวง ความตอนหนึ่งว่า
"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงขับรถพระที่นั่งไปบ้านแม้วดอยปุยใกล้พระตำหนักภูพิงค์ราชนิวเวศน์ และได้ทอดพระเนตรต้นท้อ (Peach) ที่แม้วเอากิ่งพันธุ์ดีมาต่อกับต้นตอเพื้นเมืองตามโครงการแต่ปีก่อน และมีรับสั่งถามเจ้าของว่าปลูกฝิ่นได้เงินเท่าไร และเก็บท้อพื้นเมือง(ลูกเล็ก) ขายได้กี่บาท ก็ทรงพบว่าฝิ่นกับท้อพื้นเมืองทำเงินให้เกษตรกรเท่าๆ กัน..."
"ถ้าท้อลูกนิดๆ ยังทำเงินให้เกษตรกรได้ดีเท่าฝิ่นแล้ว เราก็ควรจะเปลี่ยนยอดให้ออกลูกมาเป็นท้อใหญ่ๆ หวานฉ่ำ สีชมพูเรื่อดังกับแก้วสาวในนิทานจีน เมื่อรายได้จากท้อและผลไม้อื่นสูงกว่าฝิ่นแล้ว ฝิ่นก็จะสาบสูญไปเองตามธรรมชาติ ไม่ต้องใช้กำลังผลักดันแต่อย่างไร"
จากการดำเนินงานพัฒนาชาวเขามากกว่า ๓๘ ปี ปัจจุบันพื้นที่ที่เคยเต็มไปด้วยดอกฝิ่น จึงกลายเป็นผืนดินที่สร้างมูลค่าผลผลิตเกษตรอย่างมากมาย เป็นแหล่งผลิตผลไม้ พืชผักเมืองหนาวหลายชนิด พืชที่สำคัญของประเทศได้แก่บ๊วย พลัม พีช สาลี่ สตรอเบอรี่ อะโวกาโด และเสาวรส
ตามข้อมูลในรายงานด้านการพัฒนา มูลนิธิโครงการหลวง ประจำปีงบประมาณ ๒๕๔๘ ระบุว่ามีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ ๒,๔๙๔ ราย พื้นที่ปลูก ๑๘,๙๓๔ ไร่ ได้ผลผลิตรวม ๔๖๐,๕๗๐ กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่ารายได้ ๙.๘ ล้านบาท ช่วยให้คนไทยไม่ต้องสูญเสียเงินเพื่อการนำเข้าผัก ผลไม้จากต่างประเทศ ในทางตรงกันข้ามกลับสามารถผลิตไว้บริโภคตามฤดูกาลได้เอง เป็นการสร้างรายได้ให้แก่ชาวเขา ทำให้เกษตรกรภาคเหนือมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
**ข้อมูลจาก หนังสือ ๘๐ ทศวรรษแห่งการพัฒนา จัดทำโดยสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ดูเพิ่มเติม | โครงการหลวง |
---|