ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระบิดาแห่งการประดิษฐ์ไทย"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 1: | บรรทัดที่ 1: | ||
<center><h1>บิดาแห่งการประดิษฐ์ไทย</h1></center> | |||
===<u>ความสำคัญ</u>=== | ===<u>ความสำคัญ</u>=== | ||
บรรทัดที่ 67: | บรรทัดที่ 67: | ||
'''๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๖'''<nowiki>*</nowiki> | '''๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๖'''<nowiki>*</nowiki> | ||
[[ภาพ:สิทธิบัตร2.jpg|150px|left]]เป็นที่น่าปีติยินดีเป็นล้นพ้นแก่ปวงพสกนิกรไทยทั้งมวล เมื่อเครื่องกลเติมอากาศ "กังหันน้ำชัยพัฒนา" ได้รับการพิจารณาและทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตรในพระปรมาภิไธย เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๖ นับเป็นสิ่งประดิษฐ์เครื่องกลเติมอากาศเครื่องที่ ๙ ของโลกที่ได้รับสิทธิบัตรและเป็นครั้งแรกที่ได้มีการรับจดทะเบียนและออกสิทธิบัตรถวายแด่พระมหากษัตริย์ด้วย จึงนับได้ว่าสิทธิบัตรเครื่องกลเติมอากาศในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นเป็น "สิทธิบัตรในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์พระองค์แรกในประวัติศาสตร์ชาติไทยและเป็นครั้งแรกของโลก" | [[ภาพ:สิทธิบัตร2.jpg|150px|left|สิทธิบัตรกังหันน้ำชัยพัฒนา]]เป็นที่น่าปีติยินดีเป็นล้นพ้นแก่ปวงพสกนิกรไทยทั้งมวล เมื่อเครื่องกลเติมอากาศ "กังหันน้ำชัยพัฒนา" ได้รับการพิจารณาและทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตรในพระปรมาภิไธย เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๖ นับเป็นสิ่งประดิษฐ์เครื่องกลเติมอากาศเครื่องที่ ๙ ของโลกที่ได้รับสิทธิบัตรและเป็นครั้งแรกที่ได้มีการรับจดทะเบียนและออกสิทธิบัตรถวายแด่พระมหากษัตริย์ด้วย จึงนับได้ว่าสิทธิบัตรเครื่องกลเติมอากาศในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นเป็น "สิทธิบัตรในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์พระองค์แรกในประวัติศาสตร์ชาติไทยและเป็นครั้งแรกของโลก" | ||
ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติกำหนดให้วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ของทุกปีเป็น <span style="color:red">"วันนักประดิษฐ์"</span> เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติ ในโอกาสนี้ด้วย | ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติกำหนดให้วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ของทุกปีเป็น <span style="color:red">"วันนักประดิษฐ์"</span> เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติ ในโอกาสนี้ด้วย | ||
บรรทัดที่ 77: | บรรทัดที่ 77: | ||
'''วันที่ ๙ เมษายน ๒๕๔๔'''<nowiki>**</nowiki> | '''วันที่ ๙ เมษายน ๒๕๔๔'''<nowiki>**</nowiki> | ||
จากพระราชดำริและพระวิริยะอุตสาหะในการที่จะหาพลังงานจากธรรมชาติมาทดแทนน้ำมันเชื้อเพลิง <br />โดยทรงริเริ่มในเรื่องน้ำมันแก๊สโซฮอล์ น้ำมันดีโซฮอล์ และน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ จนเกิดโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม<br />บริสุทธิ์ขนาดเล็กขึ้นที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง จังหวัดนราธิวาส และได้มีการจดสิทธิบัตร โดยนายอำพล เสนาณรงค์ <br />องคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ยื่นจดสิทธิบัตร เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๔๔ ณ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ <br />ในพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ชื่อที่แสดงถึงการประดิษฐ์คือ <br />"การใช้น้ำมันปาล์มกลั่นบริสุทธิ์เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องยนต์ดีเซล" สิทธิบัตรเลขที่ ๑๐๗๖๔</div><div style="float:left">[[ภาพ:สิทธิบัตร.jpg]]</div></div> | จากพระราชดำริและพระวิริยะอุตสาหะในการที่จะหาพลังงานจากธรรมชาติมาทดแทนน้ำมันเชื้อเพลิง <br />โดยทรงริเริ่มในเรื่องน้ำมันแก๊สโซฮอล์ น้ำมันดีโซฮอล์ และน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ จนเกิดโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม<br />บริสุทธิ์ขนาดเล็กขึ้นที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง จังหวัดนราธิวาส และได้มีการจดสิทธิบัตร โดยนายอำพล เสนาณรงค์ <br />องคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ยื่นจดสิทธิบัตร เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๔๔ ณ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ <br />ในพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ชื่อที่แสดงถึงการประดิษฐ์คือ <br />"การใช้น้ำมันปาล์มกลั่นบริสุทธิ์เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องยนต์ดีเซล" สิทธิบัตรเลขที่ ๑๐๗๖๔</div><div style="float:left">[[ภาพ:สิทธิบัตร.jpg|สิทธิบัตรการใช้น้ำมันปาล์มกลั่นบริสุทธิ์เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องยนต์ดีเซล]]</div></div> | ||
บรรทัดที่ 84: | บรรทัดที่ 84: | ||
สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติได้จัดส่งผลงานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไปร่วมแสดงในงานนิทรรศการสิ่งประดิษฐ์นานาชาติชื่องาน "Burssels Eureka 2001" ณ กรุงบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยี่ยม ด้วยพระอัจฉริยภาพและพระปรีชาสามารถในการประดิษฐ์คิดค้นของพระองค์ ส่งผลให้การคิดค้น ๓ ผลงาน คือ "ทฤษฎีใหม่" "โครงการฝนหลวง" และ "โครงการน้ำมันไบโอดีเซลสูตรสกัดจากน้ำมันปาล์ม" ได้รับเหรียญทองประกาศนียบัตรสดุดีเทิดพระเกียรติคุณพร้อมถ้วยรางวัล ผลงานของพระองค์ล้วนเป็นผลการคิดค้นแนวใหม่ในการพัฒนาประเทศนำมาซึ่งความปลาบปลื้มยินดีแก่ประชาชนชาวไทยถ้วนหน้า | สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติได้จัดส่งผลงานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไปร่วมแสดงในงานนิทรรศการสิ่งประดิษฐ์นานาชาติชื่องาน "Burssels Eureka 2001" ณ กรุงบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยี่ยม ด้วยพระอัจฉริยภาพและพระปรีชาสามารถในการประดิษฐ์คิดค้นของพระองค์ ส่งผลให้การคิดค้น ๓ ผลงาน คือ "ทฤษฎีใหม่" "โครงการฝนหลวง" และ "โครงการน้ำมันไบโอดีเซลสูตรสกัดจากน้ำมันปาล์ม" ได้รับเหรียญทองประกาศนียบัตรสดุดีเทิดพระเกียรติคุณพร้อมถ้วยรางวัล ผลงานของพระองค์ล้วนเป็นผลการคิดค้นแนวใหม่ในการพัฒนาประเทศนำมาซึ่งความปลาบปลื้มยินดีแก่ประชาชนชาวไทยถ้วนหน้า | ||
</div> | </div> | ||
[[ภาพ:ประกาศสดุดีบรัสเซล.jpg|center]] | [[ภาพ:ประกาศสดุดีบรัสเซล.jpg|center|เหรียญทองประกาศนียบัตรสดุดีเทิดพระเกียรติคุณพร้อมถ้วยรางวัล]] | ||
รุ่นแก้ไขเมื่อ 08:06, 21 กรกฎาคม 2551
บิดาแห่งการประดิษฐ์ไทย
ความสำคัญ
พระราชประวัติ
ในที่นี้ จะขออัญเชิญบทพระราชทานสัมภาษณ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงให้ไว้กับผู้จัดทำรายการพูดจาประสาช่าง ซึ่งได้พิมพ์ในวิศวกรรมสาร “ในหลวงกับงานช่าง” ความตอนหนึ่งว่า “เท่าที่สังเกตมาตั้งแต่ยังจำความได้ ก็เห็นท่านทำงานช่างอยู่หลายอย่างท่านเคยเล่าให้ฟังว่า เมื่อตอนเด็กๆ นั้น ท่านก็มีความสนพระทัยในงานช่างมาก แล้วก็ตอนท่านเล็กๆ สมเด็จย่าเลี้ยงท่านอย่างค่อนข้างเข้มงวด คือ แม้แต่ของเล่น ก็ไม่ได้มีของเล่นมากมายสำเร็จรูป อย่างฟุ่มเฟือยเหมือนอย่างเด็กๆ สมัยนี้ แม้แต่เงินทอง ที่สมเด็จย่าให้เป็นค่าขนมแต่ละครั้งนั้น ก็ให้อย่างจำกัด จะซื้อหาอยากได้อะไรแต่ละอย่างก็ต้องคิดว่าจะเอาอะไรก่อน อะไรหลัง อะไรคุ้มดีไหม อย่างเช่น ท่านอยากได้วิทยุมาฟังท่านก็ต้องเข้าหุ้นกับทูลกระหม่อมลุง ซื้อชิ้นส่วนของวิทยุทีละชิ้นๆ เอามาประกอบเองเป็นวิทยุ ซึ่งก็ต้องฟังกัน 2 คน ที่เข้าหุ้นกัน แล้วก็การที่บางครั้งเงินที่ได้รับเป็นค่าขนมก็ไม่พอที่จะซื้อของ ที่ท่านอยากได้ก็ต้องมีการหาเงินพิเศษ วิธีหาเงินพิเศษนั้น ก็ต้องใช้ความสามารถของท่านเองนี่แหละ เช่นมีพี่เลี้ยงซึ่งก็ไม่กล้าให้เงินท่านโดยไม่มีเหตุผลเวลาทำอะไรให้แก แกถึงจะให้ได้เช่น เวลาจักรเย็บผ้าแกเสีย ท่านตอนนั้นก็ซัก 10 ขวบ ท่านก็แก้ได้ แก้ได้ก็ได้สตางค์เพื่อเป็นค่าจ้างแก้จักร
จากพระราชประวัติ ทำให้เราสามารถเข้าใจถึงทัศนคติและความสนพระราชหฤทัย ในวิชาการทางด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยี พระปรีชาสามารถนี้ ยังคงอยู่ในพระราชหฤทัยตลอดมา หลังจากที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว พระราชกรณียกิจสิ่งหนึ่ง เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนคือการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎร ในปี พ.ศ. 2498 นับเป็นครั้งแรกที่พระมหากษัตริย์ไทย เสด็จไปในพื้นทีทุรกันดารในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนับจากครั้งนั้น ก็เสด็จพระราชดำเนินทั่วภูมิภาคในประเทศไทยตลอดมาทุกปี ทำให้ทรงทราบถึงสภาพความเป็นอยู่ของราษฎร สภาพภูมิประเทศตลอดจนข้อมูลต่างๆ อย่างถ่องแท้ สำหรับประกอบพระบรมราชวินิจฉัยในการพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์แก่ราษฎรและก่อให้เกิดโครงการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งมีมากมายเหลือคณานับ โครงการเหล่านี้ต้องอาศัยเทคโนโลยีหลายๆ ด้าน รวมทั้งวิศวกรรมศาสตร์สาขาต่างๆ ซึ่งพระองค์ทรงพระปรีชาสามารถอยู่ในพระราชหฤทัยหลายด้านตลอดมา อันได้แก่ ด้านวิศวกรรมสำรวจ ด้านวิศวกรรมทางเรือ ด้านวิศวกรรมไฟฟ้า และสื่อสาร ด้านวิศวกรรมการเกษตร ด้านวิศวกรรมการชลประทาน ด้านวิศวกรรมเครื่องกล ด้านวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาด้านวิชาชีพอื่นๆ อีกหลายสาขา
พระราชกรณียกิจ
งานประดิษฐ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ไปใช้ในการแข่งขันกีฬา ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าการใช้เรือใบดังกล่าวทรงพิชิตเหรียญทองในการแข่งขันกีฬาแหลมทอง ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ. 2510 เหนืออื่นใดคือพระองค์ทรงต่อเรือใบเองด้วย
ทรงออกแบบเรือใบมด
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระราชหฤทัยในการพัฒนากีฬาเรือใบ พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถ เมื่อปี พ.ศ. 2510 พระองค์ทรงพระฐานะเป็นนักกีฬาตัวแทนของไทยลงแข่งขันเรือใบซึ่งเป็นกีฬาที่โปรดเป็นพิเศษในกีฬาแหลมทองครั้งที่ 4 ด้วยพระปรีชาสามารถ พระองค์ทรงชนะเลิศรางวัลเหรียญทองจากการแข่งขันครั้งนั้น ไม่เพียงแต่พระองค์โปรดการเล่นเรือใบเท่านั้น หากในยามที่ทรงเว้นว่างจากพระราชกรณียกิจ และทรงออกแบบ และสร้างเรือใบด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์เอง เรือใบที่ทรงออกแบบมิได้ตามแบบอย่างต่างชาติ ทรงพระราชทานนามเรือใบลำนั้นว่า “เรือใบมด” (Mod) พระองค์ได้ทรงออกแบบและสร้างเรือใบมดลำแรกด้วยพระองค์เอง คือ เรือใบมด 1 และได้ทรงนำเรือลำนี้ไปแข่งขันที่ประเทศอังกฤษเมื่อคราวเสด็จประพาสครั้งนั้น และทรงสามารถชนะเรือของผู้แข่งขันอื่นในขนาดใกล้เคียงกันได้เรือใบมดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงออกแบบนั้นเป็นเรือใบเสาเดียว ซึ่งนับว่าเป็นแบบที่เหมาะสมสำหรับใช้ในการแข่งขันมีราคาในการสร้างไม่แพง และสะดวกในการเก็บรักษา มีน้ำหนักเบาสะดวกในการเดินทางและเคลื่อนย้าย มีคุณสมบัติว่องไวดีในการเล่น และกลับลำ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงออกแบบและทรงสร้างเรือใบมดลำแรกขึ้น แล้วได้ทรงทดสอบด้วยการนำไปแข่งขันทั้งในประเทศและต่างประเทศ ปรากฏว่าเรือใบแบบนั้นซึ่งต่อมาโปรดให้เรียกว่า “เรือมด 1” มีความคล่องตัวดี เหมาะสมกับการแข่งขันมาก จึงได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้สโมสรกรมอู่ทหารเรือดำเนินการต่อเรือมดขึ้นอีก ซึ่งทำให้ช่างของกรมอู่ทหารเรือมีรายได้เพิ่มขึ้นจากงานประจำอีกด้วย รายได้จากการต่อเรือส่วนหนึ่งได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายผู้ออกแบบในฐานะมีกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของแบบ (หรือปัจจุบันอาจจะเรียกว่า เจ้าของสิทธิบัตร) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเป็นผู้พัฒนาอุตสาหกรรมการต่อเรือ และเริ่มธุรกิจการต่อเรือในประเทศไทยด้วย ต่อมาได้ทรงปรับปรุงแบบเรือมดและได้ทรงออกแบบเรือใบชุดมดอีก 2 ประเภท คือ เรือซุปเปอร์มด และเรือไมโครมด ซึ่งเป็นเรือที่ได้รับความนิยมมากในหมู่สมาชิกแล่นใบชาวไทย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชดำริให้หน่วยงานต่างๆ ทำการคิดค้นวิจัย พัฒนาและประดิษฐ์เครื่องจักรกลใช้พลังงานทดแทนขึ้น
เครื่องจักรกลที่พัฒนาขึ้นอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
2) เครื่องนวดข้าวใช้กำลังคน ประดิษฐ์ขึ้นอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2520 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเยี่ยมชาวไทยภูเขาบ้านเวียงแก อ.เชียงกลาง จ.น่าน ทรงเห็นว่า เครื่องนวดข้าวที่ชาวไทยภูเขาทำขึ้นเองใช้เท้าเหยียบให้หมุนเพื่อนวดข้าว ซึ่งไม่มี การแยกเศษฟาง เศษข้าวลีบออกจากข้าวเปลือก ก่อให้เกิดมีขั้นตอนในการนำเอาข้าวเปลือกไปฝัดแยกข้าวลีบและเศษฟางออก จึงพระราชทานพระราชดำริให้แก่เจ้าหน้าที่ให้ดัดแปลงเครื่องนวดข้าวใช้กำลังคนดังกล่าวเป็นเครื่องที่ใช้กำลังเท้าคนถีบแบบถีบจักรยาน ทำให้คนหนึ่งถีบ คนหนึ่งถือรวงข้าว นวดข้าวแยกเศษฟาง แยกข้าวลีบออก จึงได้ข้าวเปลือกนำเอาไปสีข้าว เป็นการลดขั้นตอนการนวดข้าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้มีการประดิษฐ์เครื่องนวดข้าวตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นมา เครื่องนวดข้าวและเครื่องสีข้าว ทั้ง 2 รูปแบบจะใช้งานในหมู่บ้านเดียวกันคือเป็นเครื่องส่วนกลาง ใครจะหุงข้าวก็ต้องไปนวดข้าว นวดแล้วก็ต้องไปสีข้าว จึงจะได้ข้าวสารไปหุงข้าวเพื่อรับประทาน คุณภาพข้าวดังกล่าวเป็นข้าวอนามัย
3) โรงสีข้าวไฟฟ้าพลังน้ำบ้านแม่สาใหม่ สร้างขึ้นอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อ พ.ศ. 2518 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จเยี่ยมราษฎรชาวไทยภูเขาหมู่บ้านแม่สาใหม่ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เป็นประจำและเมื่อปี พ.ศ.2518 ทรงเห็นความเดือดร้อนของชาวไทยภูเขาที่ขาดแคลนน้ำ และทรงมีพระราชประสงค์ที่จะให้ชาวไทยภูเขาได้มีน้ำใช้เพื่อการเพาะปลูก อุปโภค และบริโภค จึงพระราชทานพระราชดำริให้เจ้าหน้าที่กรมชลประทาน ก่อสร้างฝายชักน้ำเข้าอ่างเก็บน้ำที่ระดับสูง จากนั้นให้ต่อท่อส่งน้ำลงมาที่โรงสีข้าวไฟฟ้าพลังน้ำเพื่อใช้พลังน้ำในการสีข้าวและผลิตไฟฟ้า น้ำที่ผ่านการสีข้าวจึงจะนำไปใช้ในการเกษตร อุปโภค และบริโภค เป็นการใช้พลังงานจากน้ำให้เกิดประโยชน์อย่างเอนกประสงค์
4) โรงไฟฟ้าพลังน้ำดอยอ่างขาง สร้างขึ้นอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2520 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรกิจกรรมของสถานีทดลองเกษตรหลวงดอยอ่างขาง อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ โดยมีหม่อมเจ้าภีสเดช รัชนี กราบบังคมทูลขอพระราชทานโครงการไฟฟ้าพลังน้ำทดแทนพลังงานเชื้อเพลิง จึงพระราชทานพระราชดำริแก่เจ้าหน้าที่กรมชลประทาน ก่อสร้างฝายชักน้ำเข้าอ่างเก็บน้ำที่ระดับสูง แล้วส่งน้ำลงเข้าสู่โรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำที่ผ่านการผลิตไฟฟ้าแล้วให้เก็บไว้ในอ่างเก็บน้ำลูกล่างบริเวณด้านหน้าโรงไฟฟ้า จากนั้นจึงนำน้ำไปใช้ในการเกษตร อุปโภค และบริโภค เป็นการใช้พลังงานจากน้ำให้เกิดประโยชน์อย่างเอนกประสงค์
5) โรงไฟฟ้าพลังน้ำศูนย์พัฒนาปางตอง สร้างขึ้นอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2523 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรกิจกรรมของศูนย์พัฒนาปางตอง อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน ทรงเห็นว่าการผลิตไฟฟ้าด้วยเครื่องยนต์ดีเซลภายในศูนย์มีความลำบากต่อการลำเลียงน้ำมันเชื้อเพลิง อีกทั้งภายในศูนย์พัฒนาแห่งนี้มีแหล่งน้ำ และอาคารฝายทดน้ำหลายแห่ง จึงพระราชทานพระราชดำริให้เจ้าหน้าที่ของกรมชลประทานต่อท่อรับน้ำจากฝายทดน้ำที่ระดับสูง แล้วส่งน้ำเข้าโรงไฟฟ้าเพื่อผลิตไฟฟ้า น้ำที่ผ่านการผลิตไฟฟ้าแล้วให้ส่งน้ำลงฝายทดน้ำตัวล่าง จากนั้นจึงต่อท่อส่งน้ำนำน้ำจากฝายทดน้ำตัวล่างไปใช้ในการเพาะปลูก อุปโภค และบริโภค เป็นการใช้พลังงานจากน้ำให้เกิดประโยชน์อย่างเอนกประสงค์
6) ไฮดรอลิคแรม หรือ ตะบันน้ำ ประดิษฐ์ขึ้นอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2522 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรโครงการชลประทานฝายแม่มอญ อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง ทรงเห็นว่าที่ฝายแห่งนี้มีความสูงของตัวฝายและมีน้ำไหลผ่านล้นฝายตลอดเวลา น่าจะใช้เครื่องตะบันน้ำแบบเดียวกันกับที่ ใช้งานที่ฝายแม่แฝก อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ มาใช้ตามฝายต่าง ๆ เพื่อสูบน้ำด้วยพลังน้ำส่งขึ้นที่สูงช่วยเหลือราษฎรบนพื้นที่สูงให้มีน้ำใช้เพื่อการอุปโภค และบริโภค จึงพระราชทานพระราชดำริแก่เจ้าหน้าที่ของกรมชลประทานพัฒนาขึ้นเพื่อติดตั้งตามฝายน้ำล้นทุกๆแห่ง เป็นการใช้พลังงานจากน้ำเพื่อการสูบน้ำให้เกิดประโยชน์อย่างเอนกประสงค์
7) กังหันน้ำสูบน้ำทุ่นลอย ประดิษฐ์ขึ้นอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2524 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรบริเวณพื้นที่ศูนย์ศิลปาชีพพิเศษห้วยเดื่อ ต.ผาม่อง อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน ทรงเห็นว่าพื้นที่ดังกล่าวขาดแคลนน้ำเพื่อปลูกหม่อนเลี้ยงไหม อีกทั้งพื้นที่นี้ตั้งอยู่ริมฝั่งของแม่น้ำปาย ซึ่งมีปริมาณน้ำไหลตลอดปี และมีความเร็วของกระแสน้ำมาก จึงพระราชทานพระราชดำริแก่เจ้าหน้าที่ของกรมชลประทานพัฒนากังหันน้ำสูบน้ำขึ้น เพื่อสูบน้ำด้วยพลังน้ำจากแม่น้ำปายส่งขึ้นไปใช้บริเวณพื้นที่ของศูนย์ฯ เพื่อการปลูกหม่อน อุปโภค และบริโภค เป็นการใช้พลังน้ำไหลจากความเร็วของกระแสน้ำเพื่อการสูบน้ำใช้งานเบื้องต้นในระยะแรกเป็นการชั่วคราวจนกว่าจะสร้างฝายทดน้ำเพื่อชักน้ำเข้าพื้นที่ดังกล่าว
8) เครื่องสูบน้ำกังหันน้ำ ประดิษฐ์ขึ้นอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2525 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรโรงไฟฟ้าพลังน้ำปางตอง ศูนย์พัฒนาปางตอง ต.หมอกจำแป๋ อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน ทรงมีพระราชกระแสว่าไฮดรอลิคแรม หรือตะบันน้ำ ที่ติดตั้งไว้ที่ฝายปางตอง 3 บริเวณด้านหน้าพระตำหนักปางตอง เวลาใช้งานเครื่องส่งเสียงดังรบกวน น่าจะหาวิธีพัฒนาการขึ้นใหม่ โดยสร้างเครื่องกังหันน้ำขึ้น และใช้กังหันน้ำไปขับเคลื่อนเครื่องสูบน้ำ น่าจะเหมาะสมกว่าและไม่มีเสียงดัง ผู้ใช้เพียงแต่เปิดประตูน้ำเครื่องก็จะทำงาน เมื่อปิดประตูน้ำเครื่องก็จะหยุดทำงาน จึงพระราชทานพระราชดำริแก่เจ้าหน้าที่ของกรมชลประทานให้พัฒนาเครื่องสูบน้ำกังหันน้ำขึ้น 2 รูปแบบ คือ
1. เครื่องสูบน้ำกังหันน้ำแบบคร๊อสโฟล วอเตอร์เทอร์บายน์ปั้ม
2. เครื่องสูบน้ำกังหันน้ำแบบโกล๊บเคสโคแอ็คเชี่ยล วอเตอร์เทอร์บายน์ปั๊ม
ทั้ง 2 รูปแบบให้ประดิษฐ์ขึ้นติดตั้งไว้ตามอ่างเก็บน้ำทุกๆ แห่งเพื่อใช้พลังงานจากน้ำสูบน้ำขึ้นสู่พื้นที่สูงแก่เกษตรกรได้ใช้น้ำเพื่อการเกษตร อุปโภค และบริโภค น้ำส่วนหนึ่งให้แบ่งไปใช้สร้างความชุ่มชื้นให้กับป่าบนภูเขาและป้องกันไฟป่า เป็นการใช้น้ำให้เกิดประโยชน์อย่างเอนกประสงค์
9) เครื่องสูบน้ำพลังน้ำไหล ประดิษฐ์ขึ้นอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2532 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรการทดลองเครื่องสูบน้ำพลังน้ำไหลหรือสลิงปั้ม ที่บริเวณคลองส่งน้ำบ้านเริม ต.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นเครื่องสูบน้ำที่สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งประเทสสวีเดนได้น้อมเกล้าฯ ถวาย ทรงเห็นว่าการใช้เครื่องสูบน้ำดังกล่าวจะพบปัญหาเศษวัสดุและสาหร่ายไหลเข้าไปติดใบพัด และที่ทางดูดน้ำ จึงพระราชทานพระราชดำริแก่เจ้าหน้าที่ของกรมชลประทานให้พัฒนาปรับปรุงให้ดีขึ้น โดยใช้วัสดุภายในประเทศ เพื่อนำไปใช้ตามแม่น้ำลำธารต่างๆ ที่มีความเร็วของกระแสน้ำเพียงพอ เพื่อให้ราษฎรที่มีบ้านเรือนที่ติดแหล่งน้ำได้ใช้พลังน้ำไหลเพื่อสูบน้ำปลูกผักสวนครัว ข้อดีของเครื่องสูบน้ำก็คือมีน้ำหนักเบาเวลาจะใช้งานก็ยกลงไปติดตั้งในแม่น้ำ เวลาเลิกใช้ก็ยกขึ้นมาเก็บ เป็นการใช้พลังกระแสน้ำไหลเพื่อการสูบน้ำ
10) เครื่องกลเติมอากาศ (แยกไปอีกเอกสาร)
สิทธิบัตรในพระปรมาภิไธย
๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๖*
เป็นที่น่าปีติยินดีเป็นล้นพ้นแก่ปวงพสกนิกรไทยทั้งมวล เมื่อเครื่องกลเติมอากาศ "กังหันน้ำชัยพัฒนา" ได้รับการพิจารณาและทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตรในพระปรมาภิไธย เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๖ นับเป็นสิ่งประดิษฐ์เครื่องกลเติมอากาศเครื่องที่ ๙ ของโลกที่ได้รับสิทธิบัตรและเป็นครั้งแรกที่ได้มีการรับจดทะเบียนและออกสิทธิบัตรถวายแด่พระมหากษัตริย์ด้วย จึงนับได้ว่าสิทธิบัตรเครื่องกลเติมอากาศในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นเป็น "สิทธิบัตรในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์พระองค์แรกในประวัติศาสตร์ชาติไทยและเป็นครั้งแรกของโลก"ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติกำหนดให้วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ของทุกปีเป็น "วันนักประดิษฐ์" เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติ ในโอกาสนี้ด้วย
วันที่ ๙ เมษายน ๒๕๔๔**
จากพระราชดำริและพระวิริยะอุตสาหะในการที่จะหาพลังงานจากธรรมชาติมาทดแทนน้ำมันเชื้อเพลิงโดยทรงริเริ่มในเรื่องน้ำมันแก๊สโซฮอล์ น้ำมันดีโซฮอล์ และน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ จนเกิดโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม
บริสุทธิ์ขนาดเล็กขึ้นที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง จังหวัดนราธิวาส และได้มีการจดสิทธิบัตร โดยนายอำพล เสนาณรงค์
องคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ยื่นจดสิทธิบัตร เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๔๔ ณ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์
ในพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ชื่อที่แสดงถึงการประดิษฐ์คือ
"การใช้น้ำมันปาล์มกลั่นบริสุทธิ์เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องยนต์ดีเซล" สิทธิบัตรเลขที่ ๑๐๗๖๔
สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติได้จัดส่งผลงานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไปร่วมแสดงในงานนิทรรศการสิ่งประดิษฐ์นานาชาติชื่องาน "Burssels Eureka 2001" ณ กรุงบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยี่ยม ด้วยพระอัจฉริยภาพและพระปรีชาสามารถในการประดิษฐ์คิดค้นของพระองค์ ส่งผลให้การคิดค้น ๓ ผลงาน คือ "ทฤษฎีใหม่" "โครงการฝนหลวง" และ "โครงการน้ำมันไบโอดีเซลสูตรสกัดจากน้ำมันปาล์ม" ได้รับเหรียญทองประกาศนียบัตรสดุดีเทิดพระเกียรติคุณพร้อมถ้วยรางวัล ผลงานของพระองค์ล้วนเป็นผลการคิดค้นแนวใหม่ในการพัฒนาประเทศนำมาซึ่งความปลาบปลื้มยินดีแก่ประชาชนชาวไทยถ้วนหน้า
บทสรุป
ย่อมเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า สิ่งประดิษฐ์ที่เกิดขึ้นหลากหลายเหล่านี้เป็นผลงานที่สะท้อนให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพ พระวิสัยทัศน์ และพระวิริยะอันสูงส่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ การพัฒนาเพื่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมต่อชุมชนเมือง และชุมชนตามชนบท เกิดจากพระมหากรุณาธิคุณ พระเมตตาคุณที่เอื้ออาธรต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในผืนแผ่นดินไทยนี้ ให้มีความสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดี
เราชาวไทยทุกคนควรตะหนักและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ไพศาลที่หาที่สุดมิได้ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นที่รักเคารพบูชายิ่งของประชาชนชาวไทยพระองค์นี้ จึงขอให้ทุกๆ ท่านได้ถือปฏิบัติตนตามตามรอยพระยุคลบาทตลอดไป
- *ข้อมูลจาก หนังสือกังหันน้ำชัยพัฒนา เครื่องเติมอากาศที่ผิวน้ำแบบทุ่นลอย Chaipattana Low Speed Surface Aerator, Model RX-2 จัดทำโดย[มูลนิธิชัยพัฒนา]
- **ข้อมูลจาก หนังสือ ๘๐ พรรษา ปวงประชาสุขศานต์ จัดทำโดยสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ